top of page
รูปภาพนักเขียนKanokwan Thatsawin

Social Commerce Tool 2020 ไม่ใช้แล้วชีวิตลำบาก

อัปเดตเมื่อ 12 พ.ย. 2563



หลายคนคงเคยซื้อของผ่าน Social Media อย่าง Facebook, Instagram หรือ Line กันเป็นปกติอยู่แล้ว แล้วรู้รึเปล่าว่าการซื้อขายผ่านช่องทางเหล่านี้ เค้าเรียกว่า Social Commerce ซึ่งเป็นที่นิยมกันมานานแล้วนะ


ปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ในปัจจุบันมีกระแสความนิยมเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน นั่นจึงทำให้ Social Commerce เติบโตขึ้นและกำลังเป็นที่นิยม ด้วยการที่มี Social Media ต่างๆ เป็น Platform รองรับ ทำให้สามารถขายสินค้าไปยังกลุ่มผู้ใช้ได้อย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการแชทพูดคุยเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสินค้าที่สนใจ


ว่าแล้วเราก็มาดู Social Commerce Tool ที่มาแรงในปี 2019 ที่ผ่านมากันเถอะว่ามีตัวไหนมาแรงบ้าง


1. Facebook Shop


มาเริ่มกันที่ Social Media Platform อย่าง Facebook ที่มีผู้ใช้งานมากเป็นอันดับหนึ่งกันก่อนเลย

แรกเริ่มเดิมที การจะขายของบน Facebook เนี่ย หลายคนคงเลือกใช้ Facebook Page หรือเพจสำหรับธุรกิจในการจัดการร้านค้า ไม่ว่าจะลงรูปสินค้าหรือแชทคุยระหว่างผู้ชื้อและผู้ขาย มันก็ดูจะสะดวกดีนะ แต่ แต่ แต่!!! Facebook เค้ามี Tool ใหม่ที่จะช่วยให้การขายง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นไปอีก นั่นก็คือเครื่องมือที่เรียกว่า “Shop Section” ซึ่งพอเอามาใช้งานร่วมกับ Facebook Page ก็เลยกลายเป็น “Facebook Shop” นั่นเอง


อย่างไรก็ตาม การที่จะสามารถใช้เจ้า Shop Section ได้เนี่ย เราต้องมี Facebook Page ก่อนถึงจะสามารถเพิ่ม Shop Section เข้าไปได้ โดยอาจใช้เพจที่เราใช้ขายของอยู่แล้วก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเปิดเพจใหม่


แล้ว Shop Section นั้นดีอย่างไร…


ดีตรงที่จะทำให้เราสามารถขายสินค้าผ่าน Facebook Page ได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งเราได้รวบรวม Feature ของ Shop Section มาให้ดูกันข้างล่างนี้แล้วจ้า


  • เมนู Shop จะแสดงสินค้าในรูปแบบแคตตาล็อกที่สามารถจัดเป็นหมวดหมู่ได้ เช่น หมวดกระเป๋า หมวดรองเท้า และสามารถใส่ข้อความอธิบายและแจ้งราคาไว้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งสินค้าทั้งหมดจะแสดงอยู่ด้านบนสุดของ Timeline อยู่เสมอ แล้วใช้วิธีสไลด์ภาพเพื่อดูสินค้าในรูปถัดไป ซึ่งการแสดงผลแบบนี้จะช่วยแก้ปัญหาโพสต์ใหม่ดันโพสต์เก่าลงไปข้างล่าง ที่นี้ก็ไม่ต้องเสียเวลา Boost Post กันให้ยุ่งยากอีกต่อไป สะดวกทั้งผู้ขายและผู้ซื้อกันเลยทีเดียว



  • ในแคตตาล็อกสินค้าจะมีปุ่ม Check out on Website เพื่อให้ลูกค้าเข้าไปดำเนินการซื้อสินค้าในเว็บ กรณีที่ร้านมีเว็บไซต์อยู่แล้ว หรือบางร้านจะเป็นปุ่ม Message ให้ลูกค้าติดต่อผู้ขายได้โดยตรงผ่าน Facebook Messenger ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าติดต่อเข้ามาที่ร้านได้ง่ายขึ้น โอกาสในการขายก็จะมีมากขึ้นด้วย



2. Facebook Marketplace


สำหรับ Tool ตัวที่สอง เรายังคงอยู่กันที่ Facebook แต่เครื่องมือตัวนี้จะเข้าถึงได้ง่ายกว่า Facebook Shop เยอะเลย นั่นก็คือ “Facebook Marketplace” นั่นเอง


ที่บอกว่าง่ายกว่า นั่นก็เพราะว่าทุกคนสามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีร้านค้าหรือ Facebook Page เพราะ Facebook Marketplace เค้าเป็นพื้นที่ซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่ทุกคนสามารถเข้ามาโพสต์ขายได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่มี Account Facebook ส่วนตัวเท่านั้นเอง


ทีนี้เรามาดู Feature ของ Facebook Marketplace กันต่อเลยว่าน่าสนใจยังไง


  • ผู้ขายสามารถโพสต์ขายสินค้าเองได้ง่ายๆ เพียงแค่อัปโหลดรูปและรายละเอียดสินค้าลงในหน้า Facebook Marketplace โดยไม่ต้องมีเพจร้านค้า อีกทั้งผู้ขายยังสามารถดูจำนวนคนเข้าชมสินค้าได้จากหน้าโพสต์สินค้าอีกด้วย

  • ค้นหาสินค้าที่ต้องการซื้อจบในที่เดียว (ไม่ต้องไปค้นหาหลายที่) ผ่านตัวกรองในการค้นหาสินค้า เช่น ประเภทสินค้า, ราคาขั้นต่ำ — สูงสุด, ระยะทางที่ผู้ขายอยู่ห่างจากเรา หรือแม้แต่ค้นหาจากกรุ๊ปที่เราติดตามอยู่

  • ติดต่อผู้ขายและซื้อสินค้าได้โดยตรงผ่าน Facebook Messenger


*** ขอเสริมสิ่งที่น่าสนใจนิดนึง ตรงที่ผู้ประกาศขายสินค้าใน Facebook Marketplace จะมีความน่าเชื่อถือระดับนึง เพราะผู้ซื้อสามารถเข้าไปดู Profile ของผู้ขายได้ว่าเป็นใคร มีตัวตนจริงหรือไม่ หรือจะค้นหาสินค้าโดยเลือกหาจากตำแหน่งที่อยู่ใกล้ผู้ซื้อที่สุด แล้วนัดพบกับผู้ขายเพื่อขอดูหรือรับสินค้าได้




3. Instagram Shoppable Photo Tag


มาดู Social Media Platform อื่นกันบ้าง นั่นก็คือ Instagram ที่เราคงคุ้นชินกับการแชร์และติดตามรูปภาพและวิดีโอกัน แต่ Instagram ก็เป็น Platform ที่มีการทำ Social Commerce ด้วยนะเผื่อใครไม่รู้ วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ Tool ตัวใหม่มาแรงที่จะช่วยทำให้การค้าขายบน Instagram ง่ายขึ้นกว่าเดิมไปอีก


โดยเจ้าเครื่องมือที่ว่าเนี่ยมีชื่อเรียกแสนเก๋ว่า “Shoppable Photo Tag” ซึ่งหน้าที่ของมันก็ตรงตามชื่อเลย คือ


  • ร้านค้าออนไลน์บน Instagram จะติดแท็กรายละเอียดสินค้า เช่น ชื่อสินค้า คุณสมบัติ และราคาไว้ที่รูปภาพผ่านคำสั่งไอคอน Tap to View Products บนภาพสินค้าที่โพสต์

  • พอลูกค้ากดเข้าไปดู ระบบก็จะพาไปยังหน้าแคตตาล็อกสินค้าที่เจ้าของร้านได้อัปโหลดเอาไว้ และลูกค้ายังสามารถเข้าไปดูและเลือกซื้อสินค้าต่อได้ในเว็บไซต์ผ่านปุ่ม View on Website

  • แต่ถ้าหากสินค้าที่คลิกเข้าไปดูไม่ถูกใจ ก็สามารถกลับไปยังหน้าฟีดปกติได้อย่างง่ายดาย



การใช้ Shoppable Photo Tag บน Instagram ถือเป็นกลยุทธ์ที่ค่อนข้างชาญฉลาด เพราะตำแหน่งของการวางปุ่มคลิกดูสินค้าจะอยู่ที่มุมภาพ แทนที่จะทำให้เห็นได้ชัดๆ ไปเลย ทำให้ไม่ทำลายอรรถรสในการชมภาพ อีกทั้งยังตรงกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่ไม่อยากรู้สึกว่าถูกรบกวนจากการโฆษณาจนเกินไปด้วย ว้าวซ่าสุดๆ



นอกจากนี้ทาง Instagram เค้ายังเพิ่มปุ่ม Shopping Tag ไว้ใน Instagram Story เพื่อเพิ่มช่องทางการขายด้วย เพราะปัจจุบันผู้ใช้งาน Instagram มักจะเข้ามาดู IG Story มากกว่าการเลื่อนฟีดชมภาพดังเช่นเมื่อก่อน


4. LINE Official Account


มาถึง Tool ตัวสุดท้ายกันแล้วที่ต้องบอกว่าก็ป๊อปไม่แพ้เครื่องมือตัวอื่นๆ ที่กล่าวไปข้างต้นเลย นั่นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “LINE Official Account” หรือ “LINE OA” ผู้นี้นี่เอง


LINE Official Account เป็นบัญชีไลน์รูปแบบใหม่ที่เอาการใช้ LINE@ ที่เหมาะสำหรับการทำธุรกิจ การขาย และการตลาด มาปรับปรุงแล้วใช้ชื่อใหม่เป็น LINE Official Account หรือ LINE OA ที่จะผนวกการสื่อสารทางด้านธุรกิจไปพร้อมๆ กับการสื่อสารระหว่างครอบครัวและเพื่อนให้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น


โดยสาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ก็เพราะว่ารูปแบบเดิมที่เป็น LINE@ ที่ใช้กันอยู่มันส่งผลเสียบางอย่างแก่ผู้บริโภค เช่น การส่งข้อความถี่ๆ จนสร้างความรำคาญในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งต่างๆ ที่ทำให้ผู้ใช้ไลน์ทั่วไปรู้สึกว่าเป็นการรบกวน ทางบริษัท LINE จึงทำการปรับปรุงส่วนที่เป็นปัญหานี้ จนเกิดมาเป็น LINE Official Account ที่ช่วยให้การใช้งานเชิงธุรกิจมีความเหมาะสมมากขึ้นและยังทำให้ผู้ใช้ ไลน์ทั่วไปไม่รู้สึกว่าถูกรบกวนอีกต่อไป


สำหรับ Feature ของ LINE Official Account จะมีลูกเล่นมากกว่า LINE@ ทั่วไป เพราะเป็นการทำการตลาดที่จริงจังขึ้น ไม่ใช่แค่การส่งข้อความถึงลูกค้าเพียงอย่างเดียว ซึ่ง Feature ที่ว่าจะมีอะไรบ้างนั้น เราไปดูกันต่อเลย


  • มี Tools สำหรับทำ Marketing ไม่ว่าจะเป็น Survey, Rewards Card, Coupon etc. และสามารถใช้ Rich Content ได้ทุก LINE Official Account เช่น การสร้าง Rich Message, Rich Video, Rich Menu

  • สามารถสร้าง Sponsored Sticker ได้ฟรีเพื่อสร้างการรับรู้ให้แบรนด์ของคุณ พร้อมดึงดูดลูกค้าให้มาเป็นผู้ติดตาม LINE Official Account ผ่านคาแรคเตอร์ที่บ่งบอกความเป็นแบรนด์คุณ

  • ระบบการแสดงผลวิเคราะห์ข้อมูลหรือ Analytics แสดงได้ละเอียดมากขึ้น โดยจะแสดงออกมาในรูปแบบที่เป็นกราฟ แบ่งตามสีต่างๆ เพื่อให้ดูได้ง่ายขึ้น ซึ่งสามารถดูได้ทั้งจำนวน Follower, จำนวนข้อความที่ Boardcast, จำนวนข้อความแชท หรือจำนวน impressions ของการมีส่วนร่วมในแต่ละโพสต์บน Timeline, etc.



  • ผลจากการวิเคราะห์ข้างต้นยังช่วยให้คุณสามารถส่งข้อความแบบระบุ Target ด้วย CMS ได้แม่นยำมากขึ้น เช่น การเลือกเพศ, อายุ, ระบบปฏิบัติการ (Android หรือ IOS), Location, Friendship Period นั่นจึงทำให้การส่งข้อความ Boardcast แต่ละครั้งมีความแม่นยำมากขึ้น เพราะคุณสามารถใช้ทั้งข้อมูลมาวิเคราะห์และเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ

  • สามารถสร้างบอท (LINE Chatbot) ในการสนทนากับลูกค้าได้อย่างอิสระ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจที่จำเป็นต้องมีการสะสมข้อมูลหรือต้องการสร้างระบบตอบรับลูกค้าที่มีความเสมือนจริงและมีประสิทธิภาพแทนการใช้ Admin ที่เป็นคนธรรมดาทั่วไป


จะเห็นได้ว่า LINE Official Account มีความพิเศษกว่า LINE@ ที่ใช้อยู่แต่ก่อนเยอะเลย แต่เรตราคาในการใช้บริการก็สูงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ได้มีการปรับราคาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป



 

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงเห็นประโยชน์ของการใช้ Tool ต่างๆ บน Social Commerce ที่จะช่วยทำให้การค้าขายออนไลน์ง่ายขึ้นกันไม่มากก็น้อย แต่นี่ก็เป็นเพียงเครื่องมือส่วนนีงที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ยังมีเครื่องมือเสริมตัวอื่นๆ อีกที่สามารถใช้ร่วมกับ Social Media และ Social Commerce ได้ เช่น Chatbot ที่จะมาช่วยตอบคำถามและจัดการ Order การสั่งซื้อต่างๆ

ดู 22 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page